รีวิวหนัง The Old Guard 2 ดิ โอลด์ การ์ด 2 (2025)

รีวิวหนัง The Old Guard 2 ดิ โอลด์ การ์ด 2 (2025)
  • ชื่อหนัง: The Old Guard 2
  • ปีที่ฉาย: 2025
  • ผู้กำกับ: Victoria Mahoney
  • ผู้เขียนบท: Greg Rucka (ร่วมกับ Sarah L. Walker)
  • ความยาว: 104 นาที
  • วันเข้าฉาย: 2 กรกฎาคม 2025 (บน Netflix)
  • คะแนน IMDb: ยังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ ณ ปัจจุบัน
  • นักแสดง:
    • Charlize Theron รับบท Andy / Andromache of Scythia 
    • KiKi Layne รับบท Nile Freeman 
    • Matthias Schoenaerts รับบท Booker 
    • Marwan Kenzari รับบท Joe 
    • Luca Marinelli รับบท Nicky 
    • Vân Veronica Ngô รับบท Quỳnh
    • Chiwetel Ejiofor รับบท James Copley 
    • Uma Thurman รับบท Discord 
    • Henry Golding รับบท Tuah

เรื่องย่อ

“บททดสอบใหม่ของนักรบอมตะ เมื่อความตายเริ่มใกล้เข้ามา”
หลังจากภาคแรกปล่อยให้ Andy ยังคงถือความอมตะ แต่ก็เริ่มแปลกใจเมื่อพบว่าเธอไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเหมือนก่อน ขณะที่ทีมยังคงปฏิบัติภารกิจปกป้องโลกอยู่เบื้องหลัง ความบาดหมางจากอดีตของ Booker ยังคงเป็นเงาดำที่ทำให้กลุ่มแตกแยกยากจะปะติดปะต่อ แต่เมื่อ Quỳnh เพื่อนเก่าแห่งกลุ่มซึ่งเคยถูกขังใต้น้ำหลายร้อยปีหลุดจากคุกน้ำ เธอเดินทางมาพร้อมแรงแค้น และได้รับการหนุนจาก Discord “อมตะคนแรก” เจ้าที่มีอำนาจอันลึกลับ ภาคนี้จึงกลายเป็นการต่อสู้ทั้งภายนอก—กับศัตรูทรงพลัง และภายใน—กับความเปลี่ยนแปลงเรื่องชีวิต ความตาย และพันธะในกลุ่มที่ต้องทดสอบจนสุดขอบ

รีวิว

The Old Guard 2 เริ่มต้นด้วยจุดแข็งจากการต่อยอดธีมมนุษย์อมตะได้อย่างน่าสนใจ—เมื่อ Andy พบว่าความอมตะของเธอสั่นคลอน จึงเป็นการตั้งคำถามกับคำว่า “อมตะจริงหรือ?” อย่างชัดเจน และบทของ Greg Rucka ยังเติมความเคลื่อนไหวในเชิงอารมณ์ให้กับตัวละครด้วยการนำ Quỳnh กลับมาเผชิญหน้า ไม่ใช่แค่拳ปะทะ แต่ยังเป็นหัวใจฝังศรัทธา–รัก–แค้นที่เร้าอารมณ์ได้ดี

การกำกับโดย Victoria Mahoney แสดงฝีมือที่แข็งแรงในการเล่าเรื่อง แม้ในส่วนของแอ็กชันจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าภาคแรก แต่มีจังหวะดราม่า–จิตวิทยาเข้มข้น โดยเฉพาะบทสนทนาระหว่าง Andy กับ Quỳnh ที่สะท้อนความรักดิบ แม้ถูกโค้ดจะแบนดล LGBTQ+ ยังหยิบนำเสนอบางเบา แต่หนักแน่นและยากจะมองข้าม 

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของหนังคือการจัดสมดุลตัวละครรอง บทของตัวละครอย่าง Nile, Joe, Nicky และ Copley ไม่ได้ถูกพัฒนาอย่างเต็มที่ หลายฉากแอ็กชันถูกพาดผ่านแบบรวบรัด จังหวะคลี่คลายปมบางอย่างให้ความรู้สึกขาดความหนักแน่น ทำให้ภาพรวมดูเหมือนสแลปชอตเต็มขั้นที่โฟกัสไปยังใจของ Andy เพียงคนเดียว