รีวิวหนัง The Match (2025) เดอะ แมทช์

รีวิวหนัง The Match (2025) เดอะ แมทช์
รีวิวหนัง The Match (2025) เดอะ แมทช์
  • ชื่อหนัง: The Match (ชื่อเกาหลี: 승부)
  • ปีที่ฉาย: 2025
  • หมวดหมู่: ชีวประวัติ, ดราม่า, กีฬา
  • ผู้กำกับ: คิม ฮยองจู (Kim Hyung-joo)
  • ความยาว: 115 นาที
  • วันเข้าฉาย: 26 มีนาคม 2025 (เกาหลีใต้), 7 พฤษภาคม 2025 (Netflix)
  • คะแนน IMDb: ยังไม่มีคะแนนเฉลี่ย ณ ขณะนี้
  • นักแสดง:
    • อี บยองฮอน (Lee Byung-hun) รับบท โช ฮุนฮยอน
    • ยู อาอิน (Yoo Ah-in) รับบท อี ชางโฮ
    • คิม คังฮุน (Kim Kang-hoon) รับบท อี ชางโฮ (วัยเด็ก)
    • มุน จองฮี (Moon Jeong-hee) รับบท จอง มีฮวา

เรื่องย่อ

The Match เป็นภาพยนตร์ชีวประวัติที่สร้างจากเหตุการณ์จริงของสองตำนานวงการโกะของเกาหลีใต้—โช ฮุนฮยอน และ อี ชางโฮ หนึ่งคือ “ปรมาจารย์” ที่ครองตำแหน่งสูงสุดในยุคทองของวงการโกะ ส่วนอีกคนคือ “ศิษย์อัจฉริยะ” ที่เติบโตขึ้นมาภายใต้การชี้นำของอาจารย์คนนี้เอง

เรื่องราวเริ่มต้นในยุค 1980s เมื่อโช ฮุนฮยอนได้พบกับเด็กชายชื่อ อี ชางโฮ และตัดสินใจรับเขาเป็นลูกศิษย์ ภายใต้การฝึกฝนอย่างเข้มข้น เด็กคนนี้ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของอาจารย์ตนเอง ความสัมพันธ์ที่เคยเต็มไปด้วยความไว้วางใจ ค่อย ๆ กลายเป็นการแข่งขันที่ไม่มีใครยอมใครบนกระดานโกะ… และในหัวใจของผู้ชม

รีวิว

The Match เป็นภาพยนตร์ที่ใช้โครงสร้างแบบชีวประวัติกีฬาผสมกับดราม่าความสัมพันธ์ได้อย่างลงตัว ด้วยพื้นฐานมาจากเรื่องจริง ทำให้ตัวละครทั้งสอง—โช ฮุนฮยอน และ อี ชางโฮ—เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ความเก่งในเกมโกะเท่านั้น แต่รวมถึงการต่อสู้ภายในจิตใจ ความกลัวที่จะถูกแทนที่ ความภาคภูมิใจที่ปะปนกับความหึงหวงแบบเงียบ ๆ ของอาจารย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับศิษย์ตัวเอง

อี บยองฮอน รับบทโช ฮุนฮยอนได้อย่างยอดเยี่ยม ถ่ายทอดความรู้สึกหลายมิติผ่านสีหน้าและแววตาได้อย่างทรงพลัง ขณะที่ ยู อาอิน แม้จะมีประเด็นข่าวก่อนหน้านี้ แต่ฝีมือการแสดงของเขาก็ยังเปล่งประกายในบทบาทอี ชางโฮ โดยเฉพาะฉากที่เขาต้องแบกรับความคาดหวังมหาศาลจากผู้คนรอบข้าง

นอกจากนี้ ผู้ชมที่ไม่รู้จัก “โกะ” มาก่อนก็สามารถอินไปกับเรื่องราวได้ เพราะหนังไม่ได้พยายามสอนวิธีเล่น แต่ใช้เกมเป็นตัวแทนของความตึงเครียด ความภักดี และการเปลี่ยนผ่านทางอารมณ์ ฉากการดวลกันบนกระดานทุกนัดจึงกลายเป็น “สงครามเงียบ” ที่ดึงดูดคนดูได้ไม่แพ้ฉากบู๊ในหนังแอ็กชันเลยทีเดียว

โปรดักชันของเรื่องยังรักษามาตรฐานสูงตามแบบฉบับหนังเกาหลี เน้นการออกแบบฉากย้อนยุคอย่างละเอียด พาคนดูกลับไปยุค 80s-90s ได้แบบสมจริง มีการใช้แสง โทนภาพ และดนตรีประกอบที่เสริมอารมณ์อย่างละเมียดละไม

กระแสตอบรับจากการฉายทาง Netflix ก็ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชมที่ชื่นชอบแนวดราม่าลึกซึ้งและการแสดงคุณภาพ ข้อสังเกตเพียงเล็กน้อยคือหนังอาจไม่ได้เร้าใจในเชิงพล็อตแบบหนังเมนสตรีมทั่วไป เพราะเลือกเล่าเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยโทนที่เน้นความนิ่งและความขมในใจของตัวละคร

โดยรวมแล้ว The Match ไม่ได้เป็นแค่หนังเกี่ยวกับกีฬาโกะ แต่คือเรื่องราวของคนสองคนที่เคยเดินทางร่วมกัน และวันหนึ่งต้องยืนอยู่ตรงข้ามกันบนเส้นทางที่ต่างไม่มีใครอยากแพ้ เป็นหนังที่กินใจ ละเมียด แต่ทรงพลัง เหมาะกับคนที่ชอบเรื่องราวเชิงจิตวิทยา การแข่งขัน และความซับซ้อนของมนุษย์