รีวิวหนัง Death of a Unicorn (2025)

รีวิวหนัง Death of a Unicorn (2025)
รีวิวหนัง Death of a Unicorn (2025)
  • ชื่อหนัง: Death of a Unicorn
  • ปีที่ฉาย: 2025
  • หมวดหมู่: ตลกร้าย / แฟนตาซี / สยองขวัญ
  • ผู้กำกับ: อเล็กซ์ ชาร์ฟแมน (Alex Scharfman)
  • ความยาว: 107 นาที
  • วันเข้าฉาย: 28 มีนาคม 2025 (สหรัฐอเมริกา)
  • คะแนน IMDb: 6.1/10
  • นักแสดง:
    • พอล รัดด์ (Paul Rudd) รับบท เอลเลียต คินต์เนอร์
    • เจนนา ออร์เตกา (Jenna Ortega) รับบท ริดลีย์ คินต์เนอร์
    • ริชาร์ด อี. แกรนต์ (Richard E. Grant) รับบท โอเดลล์ ลีโอโปลด์
    • ทีอา ลีโอนี (Téa Leoni) รับบท เบลินดา ลีโอโปลด์
    • วิล พอลเตอร์ (Will Poulter) รับบท เชพเพิร์ด ลีโอโปลด์
    • แอนโธนี คาร์ริแกน (Anthony Carrigan) รับบท กริฟฟ์

เรื่องย่อ

“Death of a Unicorn” เป็นภาพยนตร์แนวตลกร้ายผสมแฟนตาซีและสยองขวัญ เล่าเรื่องของ เอลเลียต คินต์เนอร์ (พอล รัดด์) และลูกสาววัยรุ่น ริดลีย์ (เจนนา ออร์เตกา) ที่ระหว่างเดินทางไปยังบ้านพักของเจ้านายมหาเศรษฐี โอเดลล์ ลีโอโปลด์ (ริชาร์ด อี. แกรนต์) ได้ชนลูกยูนิคอร์นโดยไม่ตั้งใจ เมื่อพวกเขานำซากยูนิคอร์นไปยังบ้านพัก ก็พบว่ายูนิคอร์นมีพลังรักษาโรคได้จริง ทำให้โอเดลล์และครอบครัวเริ่มแผนการแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตวิเศษนี้

อย่างไรก็ตาม การกระทำของพวกเขานำไปสู่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง เมื่อพ่อแม่ของยูนิคอร์นที่ถูกฆ่าตายออกมาตามล้างแค้นอย่างโหดเหี้ยม เหตุการณ์กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างความโลภของมนุษย์กับพลังธรรมชาติที่ไม่อาจควบคุมได้

รีวิว

“Death of a Unicorn” เป็นผลงานเปิดตัวของผู้กำกับ อเล็กซ์ ชาร์ฟแมน ที่พยายามผสมผสานแนวตลกร้ายกับแฟนตาซีและสยองขวัญ โดยมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์สังคมและความโลภของมนุษย์ ผ่านการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่และเสียดสี

การแสดงของพอล รัดด์และเจนนา ออร์เตกาในบทพ่อลูกมีเคมีที่ดี แต่บทภาพยนตร์กลับไม่สามารถดึงศักยภาพของนักแสดงออกมาได้เต็มที่ ด้านเทคนิคพิเศษและ CGI ของยูนิคอร์นบางฉากดูไม่สมจริง ซึ่งลดทอนความน่าเชื่อถือของเรื่องราว

ภาพยนตร์มีความพยายามในการสื่อสารประเด็นทางสังคม เช่น การวิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมยาและความโลภของชนชั้นสูง แต่การเล่าเรื่องที่ไม่สมดุลระหว่างความตลกและความสยองขวัญ ทำให้ผู้ชมบางส่วนรู้สึกสับสนและไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ของเรื่องได้อย่างเต็มที่

โดยรวม “Death of a Unicorn” เป็นภาพยนตร์ที่มีแนวคิดน่าสนใจและกล้าหาญในการนำเสนอ แต่ยังขาดความลงตัวในหลายด้าน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวตลกร้ายผสมแฟนตาซีและสยองขวัญ อาจพบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความบันเทิงในแบบที่แตกต่างออกไป

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
รีวิวหนัง The Rose of Versailles (2025) กุหลาบแวร์ซายส์
รีวิวหนัง Thunderbolt* (2025) ธันเดอร์โบลต์ส*
รีวิวหนัง GTO Revival (2024) คุณครูพันธุ์หายาก
รีวิวหนัง Exterritorial (2025) พลิกแผนลับลวงระทึก
รีวิวหนัง Stardust (2007) ศึกมหัศจรรย์ ปาฏิหาริย์รักจากดวงดาว
รีวิวหนัง Train to Busan 2: Peninsula (2020) เพนนินซูล่า ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง