รีวิวหนัง แสงกระสือ (2019) Krasue Inhuman Kiss

รีวิวหนัง แสงกระสือ (2019) Krasue Inhuman Kiss
รีวิวหนัง แสงกระสือ (2019) Krasue Inhuman Kiss
  • ชื่อหนัง: Krasue Inhuman Kiss (แสงกระสือ)
  • ปีที่ฉาย: 2019
  • หมวดหมู่: ดราม่า / สยองขวัญ / โรแมนติก
  • ผู้กำกับ: สิทธิศิริ มงคลศิริ (Sitisiri Mongkolsiri)
  • ความยาว: 122 นาที
  • วันเข้าฉาย: 14 มีนาคม 2019 (ประเทศไทย)
  • คะแนน IMDb: 6.5/10
  • นักแสดง:
    • ภัณฑิรา พิพิธยากร รับบท “สาย”
    • โอ้-ศุกลวัฒน์ คณารศ รับบท “หน่อย”
    • สพล อัศวมั่นคง รับบท “เจิด”
    • สุภัสสรา ธนชาต รับบท “ตุ่น”

เรื่องย่อ

เรื่องราวของ “สาย” หญิงสาวที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท และค้นพบความลับอันน่ากลัวของตัวเองว่าเธอกำลังกลายร่างเป็น “กระสือ” — อสุรกายตามตำนานพื้นบ้านที่มีหัวลอยออกจากร่างในยามค่ำคืนและตามล่าเลือดเนื้อสดๆ เพื่อยังชีพ ขณะเดียวกัน ความรักในวัยเยาว์ของเธอกับ “หน่อย” ก็เริ่มผลิบาน แต่ความลับอันมืดมนของสายก็กำลังทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อหมู่บ้านเริ่มตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวของกระสือ และการล่าจึงเริ่มต้นขึ้น สายต้องเลือกระหว่างรักแท้กับการเอาชีวิตรอด ท่ามกลางความกลัว ความแค้น และความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

รีวิว

Krasue Inhuman Kiss เป็นการตีความตำนานผีกระสือในมิติใหม่ที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน ด้วยโทนหนังที่ผสมผสานระหว่างความโรแมนติก ความสยอง และดราม่าทางอารมณ์อย่างกลมกลืน หนังเล่าเรื่องในมุมที่มีความเป็นมนุษย์ของกระสือ โดยวางให้ “สาย” กลายเป็นตัวละครที่ผู้ชมเห็นใจและเข้าใจความเจ็บปวดจากการเป็นสิ่งมีชีวิตที่เธอไม่ได้เลือกจะเป็น

งานกำกับของสิทธิศิริ มงคลศิริ ถือว่าน่าประทับใจ ทั้งการใช้ภาพหมู่บ้านชนบทไทยที่สวยงามแต่แฝงความหลอน เทคนิคพิเศษ (CG) ที่ทำให้หัวของกระสือลอยออกจากร่างได้อย่างเนียนตา และการเล่าเรื่องที่ค่อยๆ เผยความจริงจนดึงผู้ชมให้จมลึกไปกับเรื่องราว

การแสดงของภัณฑิรา พิพิธยากร ในบทสาย โดดเด่นและเป็นหัวใจของหนัง เธาถ่ายทอดอารมณ์ความหวาดกลัว สับสน และเสียใจได้อย่างน่าเชื่อถือ ขณะที่ศุกลวัฒน์และสพลก็รับส่งอารมณ์ได้ดี ทำให้เรื่องราวความรักสามเส้าในเรื่องมีมิติ

แม้จะเป็นหนังผี แต่ Inhuman Kiss ไม่ได้มุ่งเน้นความน่ากลัวเพียงอย่างเดียว แต่เลือกจะเล่าเรื่องของ “ความรักที่เป็นไปไม่ได้” และ “ความหวังของคนที่แตกต่าง” ได้อย่างงดงามและเจ็บปวด

หนังเรื่องนี้เหมาะกับผู้ชมที่อยากได้มากกว่าความหลอน แต่ต้องการมองเห็นภาพของความรัก มิตรภาพ และความสูญเสียในบริบทของตำนานพื้นบ้านไทย ถือเป็นหนึ่งในหนังไทยที่ตีความผีแบบใหม่อย่างน่าชื่นชม และควรค่าแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง